หนึ่งปีก่อน เธอถูกมะเร็งตับอ่อนระยะลุกลามทรมานจนแทบสิ้นหวัง และยังได้รับคำแนะนำจากแพทย์ในท้องถิ่นให้ “กลับไปพักผ่อนที่บ้าน” แต่ในวันนี้ เธอสามารถดูแลตนเองได้ ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และมีสภาพจิตใจที่สดใสแข็งแรง

　　การยืดเวลาชีวิตครั้งนี้ เป็นผลจากความทุ่มเทของทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังของการผสาน เทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ เข้ากับ การดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ จนก่อให้เกิดปาฏิหาริย์แห่งความหวังอีกครั้งหนึ่ง

　　จากการติดเชื้อแบคทีเรียสู่การพบ “ก้อนเนื้อผิดปกติ”

　　โมลิน (นามสมมติ) หญิงชาวเคนยา เริ่มมีอาการไม่สบายบริเวณช่องท้องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ของปีก่อน แพทย์ในพื้นที่สงสัยว่าเธออาจติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori จึงให้การรักษาด้วยยาต้านการติดเชื้อเป็นระยะหนึ่ง แต่ความเจ็บปวดกลับไม่ทุเลาลง

　　เมื่อเธอเริ่มตระหนักว่าความผิดปกตินี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก โมลินจึงเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล ผลการตรวจอัลตราซาวนด์พบความผิดปกติในตับอ่อน หรือที่เรียกว่า “ก้อนเนื้อ”

　　ด้วยความที่เธอเป็นบุคลากรทางการแพทย์ และเคยผ่านประสบการณ์การรักษามะเร็งเต้านมมาก่อน คำว่า “ก้อนเนื้อ” จึงสร้างความกังวลอย่างยิ่ง เธอตัดสินใจเดินทางไปเข้ารับการตรวจรักษาในประเทศอินเดีย ผลการวินิจฉัยในครั้งนั้นสร้างความสะเทือนใจอย่างมาก  มะเร็งตับอ่อนชนิดต่อม (Pancreatic Adenocarcinoma) ซึ่งเป็นเนื้องอกมะเร็งร้ายแรงที่ได้รับสมญานามว่า “ราชันแห่งมะเร็ง”

　　ทางเลือกที่จำกัด และความหวังที่ริบหรี่

　　เนื่องจากตำแหน่งของก้อนมะเร็งไม่เหมาะสม อีกทั้งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แพทย์จึงระบุว่าไม่สามารถผ่าตัดแบบเปิดช่องท้องได้ และเสนอทางเลือกในการรักษาเพียงสองแนวทาง คือ การจี้ทำลายก้อนมะเร็งด้วยมีดนาโน หรือ การให้เคมีบำบัด

　　ในขณะนั้น โมลินแทบไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ “มีดนาโน” มาก่อน เมื่อทราบว่าการรักษาอาจต้องใช้เวลานานถึงแปดชั่วโมง เธอจึงตัดสินใจปฏิเสธทันที ด้วยเหตุผลว่าเป็นเทคนิคที่ยังมีประสบการณ์ใช้งานไม่มาก ยังไม่แพร่หลาย ใช้เวลานาน และมีความเสี่ยงสูง สำหรับร่างกายที่อ่อนแอของเธอ ทางเลือกสุดท้ายในขณะนั้นจึงเป็นการรักษาด้วยเคมีบำบัด

　　อย่างไรก็ตาม หลังการให้เคมีบำบัดครบสี่รอบ ผลการรักษากลับได้ผลเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ผลข้างเคียงสร้างความทุกข์ทรมานอย่างมาก เมื่อเธอขอคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหารอีกครั้ง ข้อสรุปที่ได้รับคือ “มะเร็งชนิดนี้อาจไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัด”

　　ต่อมา โมลินได้เข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสีแบบกำหนดเป้าหมายสามมิติ (SBRT) อีกถึงห้าครั้ง แต่ก้อนมะเร็งก็ยังไม่หดเล็กลง ซ้ำร้ายอาการปวดกลับรุนแรงขึ้น ยาแก้ปวดเริ่มไม่ได้ผล น้ำหนักตัวลดลงจาก 70 กิโลกรัม เหลือเพียง 54 กิโลกรัม

　　“แพทย์บอกให้ฉันกลับบ้าน”

　　ประโยคสั้น ๆ นี้ เปรียบเสมือนคำตัดสินครั้งสุดท้าย และทำให้โมลิน ผู้ซึ่งไม่เคยยอมแพ้ต่อโรคร้าย ต้องเกือบสูญเสียความหวังในชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง

　　สายใยแห่งความหวังที่เชื่อมข้ามมหาสมุทร

　　จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สิ้นหวังที่สุด หลานชายของโมลินซึ่งทำงานในธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เมื่อทราบอาการของเธอ จึงรีบติดต่อสำนักงานประสานงานในประเทศอินเดียของ โรงพยาบาลมะเร็งฟูด้า เมืองกว่างโจว ทันที

　　หลังจากทีมแพทย์ฟูด้าประเมินอาการอย่างรอบด้าน ได้เสนอแนวทางการรักษาใหม่ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คือ การจี้ทำลายก้อนมะเร็งด้วยมีดนาโน ร่วมกับการรักษาแบบให้คีโมเฉพาะจุดผ่านหลอดเลือดแดง และการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ในรูปแบบการรักษาแบบผสมผสาน

　　เมื่อได้รับทราบถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของโรงพยาบาลฟูด้าในเทคโนโลยีมีดนาโน เดือนมิถุนายนของปีนี้ โมลินจึงออกเดินทางสู่ประเทศจีน พร้อมความหวังครั้งใหม่ ทว่าในเวลานั้น อาการของเธอทรุดหนักอย่างมาก ไม่อยากรับประทานอาหาร หมดกำลังใจในการต่อสู้กับโรค และตามคำบอกเล่าของเธอเองคือ “ฉันแทบไม่เหลือสภาพความเป็นคนอีกต่อไปแล้ว”

　　เธอเดินทางมาถึงแผนกอายุรกรรมมะเร็งของโรงพยาบาลฟูด้าในช่วงกลางดึก สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย อาการเจ็ตแล็กจากการเดินทางไกล รวมถึงความเจ็บปวดที่ต่อเนื่อง ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจอ่อนล้าอย่างยิ่ง

　　แต่เพียงการดูแลเล็ก ๆ น้อย ๆ จากบุคลากรทางการแพทย์ เช่น การเตรียมอาหารให้เธอด้วยความใส่ใจ ก็เพียงพอที่จะสร้างความอบอุ่นและปลอบประโลมหัวใจของผู้ป่วยที่ต้องเดินทางไกลมารักษาในต่างแดนได้อย่างลึกซึ้ง

　　การประเมินอาการอย่างรอบด้าน และการรักษาที่คำนึงถึงผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง

　　ผลการตรวจหลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระบุว่า มะเร็งตับอ่อนของโมลินอยู่ในระยะที่ 3 และพบการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณหลังช่องท้อง ทำให้ไม่สามารถทำการผ่าตัดเพื่อรักษาให้หายขาดได้

　　แพทย์ผู้ดูแลหลัก นพ.ผาง เสี่ยวหมิง ได้อธิบายรายละเอียดของโรคด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน และตรงไปตรงมา พร้อมทั้งรับฟังความต้องการและความกังวลของผู้ป่วยอย่างตั้งใจ เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางของการดูแล

　　หลังผ่านการประชุมวางแผนการรักษาโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ ทีมแพทย์แผนกอายุรกรรมมะเร็งที่ 4 ได้ดำเนินการรักษาให้โมลินด้วย การจี้ทำลายก้อนมะเร็งตับอ่อนด้วยมีดนาโน ร่วมกับ การบล็อกปมประสาทช่องท้อง และภายหลังการรักษาได้เสริมด้วย ภูมิคุ้มกันบำบัด

　　แนวทางการรักษาแบบผสมผสานนี้ ไม่เพียงช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของก้อนมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคมะเร็งได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

　　“การจี้ทำลายก้อนมะเร็งด้วยมีดนาโนใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง” โมลินย้อนเล่าด้วยความประหลาดใจ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพที่เธอเคยได้รับรู้ว่าอาจต้องใช้เวลานานถึงแปดชั่วโมง

　　แม้ในคืนที่ต้องพักสังเกตอาการในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) การดูแลอย่างใกล้ชิดและการอยู่เคียงข้างของบุคลากรทางการแพทย์ ก็ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยเป็นอย่างมาก

　　หลังการรักษาเพียงไม่กี่วัน ปาฏิหาริย์ก็เริ่มปรากฏขึ้นทีละน้อย เธอกลับมามีความอยากอาหาร สามารถนอนหลับได้อย่างสงบ และน้ำหนักตัวเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ต่อมา โมลินยังได้รับการรักษาเสริมด้วย เคมีบำบัดผ่านการให้ยาทางหลอดเลือดแดง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโรค

　　“หลังจากทำเคมีบำบัดเสร็จ ฉันเดินทางกลับประเทศไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหารคนเดิม เขารู้สึกตกใจอย่างมาก และกล่าวว่า ฉันต้องได้รับการรักษาที่มีคุณภาพสูงมาก จึงจะสามารถ ‘ฟื้นคืนจากความตาย’ ได้เช่นนี้”

　　แม้ว่าขนาดของก้อนมะเร็งจะไม่ได้หดเล็กลงอย่างชัดเจน และยังคงมีความเคลื่อนไหวของเซลล์มะเร็งบางส่วนบริเวณขอบก้อน แต่รอยโรคส่วนใหญ่ได้เกิดการตายของเนื้อเยื่อแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือสภาพร่างกาย พลังใจ และคุณภาพชีวิตของเธอ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

　　ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับ “ราชันแห่งมะเร็ง” โมลินได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังแห่งความหวัง และสามารถคว้าชัยชนะในสมรภูมิการต่อสู้กับโรคร้ายครั้งนี้ได้อย่างงดงาม

　　ชัยชนะสองด้านของเทคโนโลยีและหัวใจความเป็นมนุษย์

　　โมลินใช้คำว่า “ปาฏิหาริย์” สองครั้ง เพื่อสรุปประสบการณ์การรักษาครั้งสำคัญในชีวิตของเธอ

　　ปาฏิหาริย์แรก คือความเป็นเลิศทางการแพทย์ของทีมโรงพยาบาลมะเร็งฟูด้า ที่ไม่ได้สะท้อนเพียงประสิทธิภาพของเทคโนโลยีมีดนาโนอันก้าวหน้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทัศนคติความเป็นมืออาชีพของแพทย์และพยาบาล ที่ตั้งใจรับฟัง สื่อสารอย่างเข้าใจ และดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจ

　　ปาฏิหาริย์ที่สอง คือการฟื้นตัวของร่างกายโดยรวมหลังการรักษา ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของความร่วมมือและความเชื่อใจกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย จนก่อให้เกิดปาฏิหาริย์แห่งชีวิตร่วมกัน

　　ในสถานที่แห่งนี้ โมลินได้สัมผัสถึงความเห็นอกเห็นใจของบุคลากรทางการแพทย์ การเกื้อกูลกันระหว่างผู้ป่วย รวมถึงการบริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของโรงพยาบาล ตั้งแต่บริการล่าม การรับส่ง ไปจนถึงครัวบริการตนเองที่จัดเตรียมไว้อย่างอบอุ่น

　　ทั้งหมดนี้ ทำให้เธอไม่รู้สึกว่า “กำลังถูกกักขังอยู่ในกรง” หากแต่เป็นการได้กลับมาครอบครองพลังและความเข้มแข็ง เพื่อยืนหยัดต่อสู้กับโรคมะเร็งอย่างแท้จริง

　　จากการยอมแพ้ สู่การเปิดใจรับความหวัง

　　ทัศนคติของเธอเปลี่ยนไปจากการสิ้นหวัง กลายเป็นการเปิดใจและมองเห็นความเป็นไปได้ โมลินปรารถนาที่จะใช้ประสบการณ์ของตนเองเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยมะเร็งคนอื่น ๆ โดยกล่าวว่า

　　“อย่ากลัวเลย เพราะย่อมมีวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคุณเสมอ แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด ก็อย่าละทิ้งการค้นหาความเป็นไปได้ของแสงสว่าง”

　　ศึกษาเพิ่มเติมด้านล่างนี้

　　เทคนิคการรักษาด้วยมีดนาโน | โรงพยาบาลมะเร็งฟูด้ากว่างโจว

　　https：//www.youtube.com/watch？v=2g2SDwi7Ofk&t=3s

　　คีโมเฉพาะจุด | โรงพยาบาลมะเร็งฟูด้ากว่างโจว

　　https：//www.youtube.com/watch？v=yCDgBc0067M&t=3s

　　ภูมิคุ้มกันบำบัด(PD-1/PDL-1) ก้าวสำคัญแห่งยุคใหม่ในการรักษามะเร็ง

　　https：//www.youtube.com/watch？v=ZSBQ3Z84wPc

　　ปรึกษาโรคมะเร็ง

　　หากคุณต้องการทราบว่าผู้ป่วยเหมาะสำหรับการรักษาแบบบาดแผลเล็กหรือไม่ (การรักษาด้วยความเย็น  การรักษาด้วยมีดนาโน  การรักษาเฉพาะจุดแบบอุดตันเส้นเลือด ฯลฯ) และค่าใช้จ่ายในการรักษา  กรุณากรอกข้อมูลผู้ป่วย เพื่อรับคำแนะนำจากทีมแพทย์มะเร็งผู้เชี่ยวชาญของเรา

รับคำแนะนำจากแพทย์